บทความชุด "ชีวิตดี๊ดีที่ชายแดนใต้" จัดทำโดยกรมประชาสัมพันธ์ ตอน มัสยิด 300 ปี สายใยผูกพันพุทธมุสลิม

บทความชุด "ชีวิตดี๊ดีที่ชายแดนใต้" จัดทำโดยกรมประชาสัมพันธ์ ตอน มัสยิด 300 ปี สายใยผูกพันพุทธมุสลิม

วันที่นำเข้าข้อมูล 20 ม.ค. 2563

วันที่ปรับปรุงข้อมูล 30 พ.ย. 2565

| 1,417 view

มัสยิด 300 ปี สายใยผูกพันพุทธมุสลิม

          ชุมชนทรายขาว อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี เป็นชุมชนที่มีมนต์เสน่ห์ด้านการอยู่ร่วมกันของชาวไทยพุทธและชาวไทยมุสลิมจนสามารถดึงดูดให้นักท่องเที่ยวมาเยือนชุมชนแห่งนี้

          หลักฐานชิ้นสำคัญที่ช่วยยืนยันความรักใคร่กลมเกลียวกันดีของ 2 ศาสนา นั่นคือ มัสยิด 300 ปี หรือที่เรียกกันติดปากในละแวกนี้ว่า มัสยิดบาโงยลางาหรือมัสยิดนัจมุดดีน ซึ่งเป็นศาสนสถานที่เกิดขึ้นโดยความร่วมแรงร่วมใจของ 2 ผู้นำศาสนา พระครูศรีรัตนากรหรือพ่อท่านศรีแก้ว อดีตเจ้าอาวาสวัดทรายขาวกับโต๊ะอิหม่ามในยุคนั้นและชาวบ้านไทยพุทธและชาวไทยมุสลิมในพื้นที่

          รูปแบบการก่อสร้างผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมไทยและมุสลิม จึงมีลักษณะคล้ายศาลาการเปรียญของไทยและศิลปะการก่อสร้างตามแบบสถาปัตยกรรมลังกาสุกะ สันนิษฐานว่าสร้างในปี พ.ศ.2177  ใช้ไม้ตะเคียนและไม้แคทั้งต้น ใช้ลิ่มไม้ตอกยึดแทนตะปู หลังคามุงด้วยกระเบื้องอิฐแดง นับเป็นภูมิปัญญาและความสมัครสมานสามัคคีของชาวชุมชนท้องถิ่นร่วมกันสร้างศาสนสถานและวัฒนธรรมสถานที่งดงามล้ำค่า

          นายมูฮำหมัด  บาเหมบูงา  โต๊ะอิหม่ามประจำมัสยิด 300 ปี นัจมุดดีน ได้สะท้อนความรู้สึกของผู้นำศาสนาที่มีต่อสายสัมพันธ์ของชาวไทยพุทธและชาวไทยมุสลิมในพื้นที่ที่ มีจุดเริ่มต้นของความผูกพันดุจพี่น้องของคนสองศาสนาในชุมชนแห่งนี้ถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นกลายเป็นตำนานที่กระชับความรักใคร่ของผู้คนให้แนบแน่นยิ่งขึ้น

          ภายในมัสยิด 300 ปี นัจมุดดีน ยังมีสิ่งที่น่าสนใจ คือ กลอง หรือ นางญา ที่ทำจากต้นไม้ขนาดใหญ่นำมาคว้านตรงกลาง ใช้หนังควายเพื่อขึ้นหน้ากลอง สำหรับจุดเด่นของกลองนี้คือลิ้นดึงหนังกลองทำจากไม้ไผ่ซึ่งอยู่ภายในตัวกลอง เมื่อตีกลองไม้ไผ่จะสั่น ทำให้มีเสียงไพเราะขึ้นและมีความดังไปได้ไกลประมาณ 3 กิโลเมตร ปัจจุบันยังใช้ในการตีบอกเวลาให้สมาชิกในชุมชนทราบว่าถึงเวลาที่ต้องมาร่วมละหมาด ในอดีตยังใช้ตีในการเตือนภัยหรือเมื่อมีเหตุร้ายเกิดขึ้น นอกจากนี้ยังมียังพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานฉบับเขียนด้วยมือ มีอายุกว่า 300 ปี ซึ่งหาดูได้ยากและมีอยู่ไม่กี่ที่ในประเทศไทยที่ยังคงเก็บรักษาไว้เพื่อให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาอีกด้วย   ไม่เพียงเท่านี้ ชุมชนแห่งนี้ยังมีธรรมเนียมปฏิบัติสืบต่อกันมาอย่างยาวนานไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือเมื่อยามเดือดร้อนหรือเกื้อกูลยามยากลำบาก จนกลายเป็นเรื่องที่ปลูกฝังมาตั้งแต่บรรพบุรุษมาจนถึงลูกหลาน

          มัสยิดเก่าแก่ ที่ตั้งตระหง่านอยู่ในชุมชนมากว่า 300 ปี ของบรรพชนของทั้ง 2 ศาสนา ที่เป็นหนึ่งเดียวได้กลายเป็นดั่งเบ้าที่หลอมรวมให้ทุกชีวิตในพื้นที่แห่งนี้อยู่ในกรอบแห่งความรักและสามัคคีผ่านศิลปะที่มีเอกลักษณ์ของความเป็นอิสลามและความเป็นพุทธรวมอยู่อย่างกลมกลืนและกลายเป็นศูนย์กลางในการพบปะแลกเปลี่ยนความเห็นและเป็นความภาคภูมิใจของคนสองศาสนาในพื้นที่แห่งนี้

 

ธวัชชัย วรรณโรจน์  ถ่ายภาพ

สุภาวดี  บุญมี, ลลิตวดี แก้วสองเมือง  /ทีมข่าว NBT สงขลา

(สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทยจังหวัดสงขลา)  รายงาน

 

รูปภาพประกอบ

รูปภาพประกอบ